ชมแหล่งประวัติศาสตร์ของเซนได, มะสึชิมะ และไอซึ 2 วัน 1 คืน

แผนที่พื้นที่ 青森県 岩手県 宮城県 秋田県 山形県 福島県 新潟県
เริ่มต้น
วันที่ 1
 
 

วัดซุยกันจิ

วัดที่จะให้คุณได้สัมผัสความคลั่งไคล้และรสนิยมด้านความงามของมะซะมุเนะ

วัดซุยกันจิ
วัดซุอิกันจิเป็นวัดประจำตระกูลของผู้ครองแคว้นชื่อดังในยุคเซ็นโกคุนามว่าดะเตะ มะซะมุเนะ สร้างขึ้นในปี 828 แต่ดะเตะ มะซะมุเนะได้ปฏิสังขรณ์วัดที่ทรุดโทรมแห่งนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังยุคเซ็นโกคุผ่านพ้นไป วัดนี้จะให้คุณสัมผัสได้ถึงรสนิยมด้านความงามของมะซะมุเนะในทุกซอกทุกมุม
“วิหารหลัก"" และ ""ห้องครัว"" ของที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินของญี่ปุ่น ห้ามพลาดชมภาพวาดอันสวยงามบนประตูเลื่อนในวิหารหลัก ในฤดูใบไม้ผลิ ""ต้นกะริวไบ"" ซึ่งอยู่ด้านหน้าวิหารหลักจะผลิดอกงดงาม ใน ""ห้องครัว"" ของวัดก็มีการแกะสลักลวดลายแบบอาหรับและแสดงให้เห็นถึงรสนิยมของมะซะมุเนะ
“ประตูโอนาริมง” “ประตูชูมง” และ “รั้วไทโกะเบ” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น วัดยังมีจุดน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น “กลุ่มถ้ำและซากปรักหักพัง” และ “ถ้ำฮชชินคุสึ”
ใน “วิหารเซริวเด็น (อาคารเก็บสมบัติ)” จัดแสดงภาพวาดและอุปกรณ์ใช้ในพิธีชงชาของตระกูลมะซะมุเนะ รวมถึงประตูเลื่อนในวิหารหลักของจริงด้วย
ทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดแสวงบุญของ “เส้นทางแสวงบุญสี่วัด” ร่วมกับ “วัดจูซนจิ” กับ “วัดโมซือจิ” ในฮิระอิซุมิ จังหวัดอิวะเตะและ “วัดริชชะคุจิ” ในยะมะเดะระ จังหวัดยะมะกะตะด้วย
ตั้งติดกับ “วัดเอนซืออิน” แล้วยังใกล้กับร้านอาหารและร้านจำหน่ายสินค้าของฝากด้วย แนะนำให้ไปเยือน “วัดโกไดโด” ที่มะซะมุเนะสร้างขึ้นมาก่อนวัดซุอิกันจิไปพร้อมๆ กันด้วย
หลังเพลินตากับทัศนียภาพสวยงามไร้ที่เปรียบ ณ มัตสึชิมะอันเป็นหนึ่งในสามอันดับวิวของญี่ปุ่นแล้ว ก็ลองมาหวนนึกถึงสมัยนั้นที่วัดของมะซะมุเนะกันนะคะ
 
 

โกะไดโด

สะพานสีแดงกับวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะเป็นสัญลักษณ์แห่งมัตสึชิมะ

โกะไดโด
สะพานสีแดงที่ทอดข้ามไปยังเกาะเล็กๆ ที่ถูกตัดขาดและวัดโกไดโดที่ตั้งตระหง่านเป็นทัศนียภาพสัญลักษณ์ของมัตสึชิมะ แถมยังเป็นจุดชมวิวสวยที่มองเห็นอ่าวมัตสึชิมะอีกด้วย
จุดเริ่มต้นคือการสร้างวัดบิชะมงโดในปี 807 โดยซาคาโนะอุเอะ โนะ ทามูระมาโระ ผู้เคยเป็นขุนนางและเจ้าหน้าที่ทางการทหาร จากนั้นก็ได้ชื่อนี้มาเพราะพระจิคาคุไดชิเอ็นนินอัญเชิญรูปปั้นวิทยาราชทั้งห้า (อจละ ไตรโลกยวิชยะ กุณฑลิ ยมานตกะ วัชรยักษ์) มาประดิษฐานในปี 828 รูปปั้นวิทยาราชทั้งห้าเป็นพระพุทธรูปลับและเปิดให้ชมทุกๆ 33 ปี
วัดในปัจจุบันเป็นวัดที่สร้างโดยเจ้าผู้ครองแคว้นยุคเซ็นโกคุชื่อดังอย่างดะเตะ มะซะมุเนะ มีการสลัก 12 นักษัตรที่ทั้ง 4 มุมใต้หลังคาและคาเอรุมาตะ (ไม้ค้ำ) คุณจะได้เห็นองค์ประกอบของวัฒนธรรมสมัยโมโมยามะซึ่งพัฒนาขึ้นมาในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นศตวรรษที่ 17 ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมสมัยโมโมยามะที่เก่าที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น
บริเวณพื้นของสะพาน “ซุคาชิบาชิ” มีช่องว่างให้มองเห็นทะเลที่อยู่เบื้องล่างได้ สร้างแบบนี้เพื่อให้ตั้งใจสักการะอย่างเต็มที่ ปัจจุบันมีการติดแผ่นไม้ลงไปในแนวตั้งเพื่อให้เดินง่ายแต่สมัยก่อนเคยเป็นรูปแบบบันได
ทั้งยังมีตำนานเล่าว่าตอนที่เอ็นนินเปิดวัดเอ็นปุคุ (คือวัดซุยกังในปัจจุบัน) และได้อัญเชิญวิทยาราชทั้งห้ามาประดิษฐานนั้น อยู่มาคืนหนึ่งท้าวเวสสุวรรณที่ซาคาโนะอุเอะ โนะ ทามูระมาโระเคยสักการะบูชาก็เรืองแสงและลอยไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่ไกลจากฝั่ง จึงเรียกเกาะนั้นว่าเกาะบิชะมง (ท้าวเวสสุวรรณ)
การชมเกาะต่างๆ ในอ่าวระหว่างนึกถึงตำนานแบบนี้พร้อมกับไปเที่ยววัดซุยกังด้วยก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกเช่นกัน

ทานอาหารกลางวันแถวมะสึชิมะ (อาหารทะเลประจำฤดู)

 
 

ซุยโฮเดน

สถานที่สุดท้ายในช่วงชีวิตของดาเตะ มาซามุเนะ

ซุยโฮเดน
สุสานซุยโฮเด็น สถานที่ฝังศพของดาเตะ มาซามุเนะ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1637 เป็นอาคารสุสานทรงโบราณศิลปะแบบสมัยโมโมยาม่าที่มีความงดงาม ซึ่งถึงแม้จะถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติในปี ค.ศ.1931 แต่ถูกไฟเผาทำลายเนื่องจากสงคราม โดยอาคารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1979ภายในนอกจากจะมีสุสานรุ่นที่สองและสามแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์หอจดหมายเหตุที่จัดแสดงวัตถุที่พบจากการขุดค้นด้วย
* โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการสำหรับข้อมูลล่าสุด
 
 
 
วันที่ 2
 
 

นาโนะคะมะชิโดริ【เมืองอะอิซุวะคะมัตสึจิ】

เดินท่ามกลางอาคารบ้านเรือนย้อนยุค

นาโนะคะมะชิโดริ【เมืองอะอิซุวะคะมัตสึจิ】
ถนนนานุกะมาจิยาว 700 เมตรตั้งแต่ “สถานี JR นานุกะมาจิ” ถึง “ถนนโนกุจิฮิเดโยะเซชุน” ที่นี่เรียงรายไปด้วยอาคารสไตล์ย้อนยุคในสมัยศตวรรษที่ 20 จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับย้อนเวลาทันทีที่เหยียบย่างเข้าไป
ถนนมีร้านจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมอย่างภาพวาดบนเทียน เครื่องเคลือบไอซุและผ้าฝ้ายไอซุตั้งเรียงรายอยู่มากมาย คุณจึงจะได้เพลิดเพลินกับการเดินชมเมืองระหว่างสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของไอซุ สถาปัตยกรรมรูปแบบต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยจุดน่าชม! จึงไม่ควรพลาดมาค่อยๆ ใช้เวลาสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองกันให้ได้ มีอาหารอย่างขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) โรงเหล้าสาเก และอื่นๆ อยู่ครบครันจนลังเลเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกของฝากก็จะให้ความสนุกสนานได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วรถบัสวนรอบเมืองชื่อ “ไฮคาระซัง” ก็จะมาช่วยเสริมบรรยากาศย้อนยุคของเมืองให้มากขึ้นอีกขั้น
ไม่ใช่แค่ร้านค้าหน้าตาเก๋ไก๋เท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ที่เกี่ยวพันกับชินเซ็นกุมิกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ด้วย เช่น “วัดอามิดะจิ” ซึ่งเป็นที่ตั้งหลุมศพของไซโต ฮาจิเมะ “ร่องรอยเรียวกังชิมิซุยะ” ซึ่งฮิจิคาตะ โทชิโซเคยมาเข้าพัก และ “พิพิธภัณฑ์ชินเซ็นกุมิไอซุ” ดังนั้นลองมาเดินเล่นพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาในสมัยนั้นกันค่ะ
“เอคิคาเฟ่” ที่ตั้งอยู่ในอาคารสถานีนานุกะมาจินี้เป็นร้านจำหน่ายสินค้าของเขตเทศบาล 17 แห่งในภูมิภาคไอซุ คุณจะรู้สึกมีความสุขเมื่อถูกรายล้อมไปด้วยสินค้าจิปาถะน่ารักๆ ทั้งยังอยากแนะนำให้พักผ่อนหย่อนใจในบริเวณคาเฟ่ด้วยค่ะ
 

ทานอาหารกลางวันในเมืองไอซึวะกะมะสึ (ข้าวหน้าไอซึซอสคะสึ)

คัทสึด้งซอสไอซุ

ทานอาหารกลางวันในเมืองไอซึวะกะมะสึ (ข้าวหน้าไอซึซอสคะสึ)
จานเด็ดประจำภูมิภาคไอซุที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยไทโช คัตสึด้งที่นี่จะต่างจากคัตสึด้งทั่วไปที่โปะไข่ด้านบน คัทสึด้งซอสไอซุจะใช้กะหล่ำหั่นฝอยโปะบนข้าว จากนั้นก็นำทงคัตสึ (หมูชุบแป้งทอด) คลุกซอสหวานเผ็ดวางลงไป ได้ปริมาณแบบเต็มๆ หมูชุบแป้งทอดกรอบและกะหล่ำกรุบๆ รสชาติเข้ากันได้ดีกับข้าวราดซอส เป็นเมนูที่สายเน้นปริมาณห้ามพลาด




ค้นหาร้านอาหาร
 

ปราสาทซึรุกะ

ปราสาทกระเบื้องสีแดงแสนงามเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น

ปราสาทซึรุกะ
เรียกกันอีกอย่างว่า “ปราสาทไอซุ” หรือ “ปราสาทไอซุวะคะมัตสึ” เพราะในสงครามโบชินในปี 1868 ตัวปราสาทต้านทานการโจมตีอันดุเดือดของกองทหารรัฐบาลชุดใหม่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนจนเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า “ปราสาทไร้พ่าย”
ปราสาทสึรุกะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้อยปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น สร้างใหม่เมื่อปี 1965 และปรับปรุงเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2011 จึงปู ""กระเบื้องสีแดง” ที่สร้างเลียนแบบสมัยศตวรรษที่ 17 ได้เสร็จสิ้น และกลายเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีกระเบื้องสีแดงให้ชม นอกจากนี้ กำแพงหินของตัวปราสาทยังรอดพ้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1611 มาได้ ปัจจุบันจึงยังคงสภาพดีให้ได้ชมเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
ภายในตัวปราสาทกลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจากชั้นบนสุดจะสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองรอบปราสาทไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตาภายในสวนปราสาทสึรุกะมี “ห้องชารินคาคุ” ซึ่งกล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาโดยโชอัน บุตรของเซ็นโนะริคิว จึงมีน้ำชาและขนมให้เพลิดเพลินกันได้ภายในสวน
ทั้งยังรู้จักกันว่าเป็นจุดชมซากุระชื่อดัง ในฤดูใบไม้ผลิซากุระกว่า 1,000 ต้นจะบานสะพรั่งเต็มสวนและช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับด้วย นอกจากจะมีการประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว “เทศกาลเทียนประดับภาพวาดแห่งเมืองไอซุ” ที่จัดขึ้นในฤดูหนาวก็มีวิวหิมะน่ามหัศจรรย์ที่ส่องสว่างจากแสงของเทียนไขให้ได้เพลิดเพลินกันและมีคนมาชมกันอย่างหนาแน่น
 

คฤหาสน์ซามูไร ไอซึบูเคยาชิกิ

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จะให้ชม สัมผัสประสบการณ์ และเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไอซุ

คฤหาสน์ซามูไร ไอซึบูเคยาชิกิ
สวนสนุกธีมพาร์คด้านประวัติศาสตร์ที่มีการรวมอาคารซึ่งย้ายมาปลูกใหม่หรือบูรณะขึ้นใหม่โดยเน้นไปที่คฤหาสน์ของไซโก ทะโนะโมะ ผู้เป็นขุนนางแคว้นไอซุ นอกจากคฤหาสน์ขุนนางแล้วภายในอาณาบริเวณอันกว้างขวางยังมีสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ""คิวนะคะฮะตะจินยะ"" ซึ่งเป็นที่ว่าการเขตสมัยเอโดะที่ถูกย้ายมาสร้างใหม่ และ ""เรนันอันรินคะคุ"" ซึ่งจำลองมาจาก ""รินคะคุ"" ซึ่งเป็นห้องชงชาในป้อมศูนย์กลางของปราสาทสึรุกะ 
นอกจากจะตั้งรวมกับหอเอกสารที่มีวิถีชีวิตในสมัยนั้นและสภาพของสงครามโบชินให้เรียนรู้แล้ว ในฤดูหนาวช่วงกลางเดือนธันวาคม - ต้นเดือนเมษายนยังสามารถชมภายในของคฤหาสน์ขุนนางได้อีกด้วย
นอกจากจะสามารถทำกิจกรรมลงสีอากาเบโกะ (วัวแดง) และแกะสลักภาพลงบนกระจกได้แล้ว อาคารทำงานประดิษฐ์มือยังมีวัฒนธรรมดั้งเดิมให้ได้ทำกันอย่างสนุกสนานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เช่น “สตูดิโอถ่ายภาพ” ที่จะให้สวมชุดในสมัยนั้นและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
ไม่เพียงแต่ร้านอาหารที่มีอาหารพื้นเมืองของไอซุให้ได้ทานกันเท่านั้น แต่ยังมีร้านที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของไอซุมากมายตั้งแต่สินค้าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิม ขนม ไปจนถึงผลผลิตทางการเกษตร จึงไม่ควรพลาดมาหาของถูกใจเป็นที่ระลึกในการเดินทางกันให้ได้ค่ะ
 

วัดซาซาเอะ

สัมผัสประสบการณ์พิศวง! สถาปัตยกรรมไม้เพียงแห่งเดียวในโลกที่มีบันไดวนสองชั้น

วัดซาซาเอะ
""อุโบสถสะซะเอะโด (หอยตาวัว)"" ได้ชื่อนี้มาเพราะรูปร่างเหมือนทรงกระบอกม้วนและมีลักษณะภายนอกเหมือนศิลปะสามมิติ สถาปัตยกรรมไม้หกเหลี่ยมสามชั้นที่มีบันไดวนสองชั้นแบบนี้มีเพียงแห่งเดียวในโลกและเป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำค่ามาก ได้รับเลือกเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร
ภายในออกแบบให้ขึ้นทางลาดเอียงระหว่างชมวิวจากหน้าต่างที่เอนเอียงได้ ทางขึ้นกับทางลงเป็นแบบวันเวย์จึงจะไม่มีการเดินสวนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงเกิดมาเป็นโครงสร้างแบบนี้ได้นั้นมีหลากหลายทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลโอนาร์โด ดาวินชีประดิษฐ์คิดค้นได้เผยแพร่เข้ามาสู่ญี่ปุ่น หรือเจ้าอาวาสได้รับคำพยากรณ์มาจากในฝัน เป็นต้น แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา ห้ามพลาดมาสัมผัสกับความพิศวงที่ไม่รู้เลยว่าจะกลับมาถึงประตูทางเข้าตั้งแต่ตอนไหนและความมหัศจรรย์เหมือนโลกบูดเบี้ยวนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง!
สมัยก่อนมีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ 33 องค์และกล่าวกันว่าสามารถเดินทางมาแสวงบุญกันได้ที่นี่ เป็นสถานที่เหมือนฝันจริงๆ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ยากจะไปแสวงบุญทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น มีเครื่องรางติดอยู่เป็นจำนวนมากและแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากแค่ไหนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้
มีชื่อทางการว่า “เอ็นซือซังโซโด” ตั้งอยู่บนภูเขาอีโมริซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกองทัพเสือขาว (บัคโคไต) และตั้งติดกับ “วัดอุงะชินโด” ที่มีรูปปั้นของกองทัพเสือขาว 19 นายด้วย
 

ภูเขาอีโมริ

ทำให้อาลัยอาวรณ์เหล่านักรบที่สิ้นลมหายใจไปตั้งแต่อายุยังน้อย

ภูเขาอีโมริ
ภูเขาเตี้ยๆ ความสูง 314 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่มองเห็นเมืองรอบปราสาทอย่างเมืองไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตา สามารถไปถึงยอดเขาโดยขึ้นบันได 183 ขั้นได้ แต่หากใช้บริการทางเลื่อนก็จะสามารถไปถึงยอดเขาได้ง่ายยิ่งขึ้น
“สุสาน 19 หน่วยพยัคฆ์ขาว” บนภูเขาอีโมริจะคอยเล่าขานให้ปัจจุบันได้ทราบถึงโศกนาฏกรรมสงครามไอซุอันเป็นสงครามจำกัดขอบเขตในช่วงสงครามโบชินซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1868 หน่วยพยัคฆ์ขาวเป็นกองทหารของเด็กหนุ่มวัย 10-19 ปีในแคว้นไอซุ พวกเขาเห็นปราสาทสึรุกะปกคลุมไปด้วยควันโขมงจากภูเขาอีโมริจนนึกว่าปราสาทเกิดไฟไหม้ จึงปลิดชีพของตนเองเพื่อเจ้านาย แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถมองเห็นปราสาทสึรุกะได้จาก “จุดที่หน่วยพยัคฆ์ขาวปลิดชีพตนเองด้วยดาบ” ได้ และมีผู้คนมากมายมาเยือนเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเพราะนึกถึงเหล่านักรบที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อย สุสานของอีนุมะ ซาดาคิจิที่เหลือชีวิตรอดเพียงคนเดียวและเป็นผู้ถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของหน่วยพยัคฆ์ขาวในภายหลังก็อยู่ในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อย
นอกจากนี้ก็ยังหลงเหลือศิลาจารึกที่ต่างประเทศมอบให้เพื่อชมเชยในความสามารถของหน่วยพยัคฆ์ขาว เช่น “อนุสาวรีย์อิตาลี” และ “อนุสาวรีย์เยอรมัน” รวมถึง “ถ้ำคันกั้นน้ำโทโนะกุจิ” ที่กล่าวกันว่าหน่วยพยัคฆ์ขาวเคยลอดผ่านตอนถอยร่น
ใกล้ๆ จุดขึ้นทางเลื่อนมี “อนุสรณ์สถานหน่วยพยัคฆ์ขาว” และในบริเวณใกล้เคียงก็มี “อนุสรณ์สถานตำนานหน่วยพยัคฆ์ขาว” และ “ทาคิซาวะฮนจิน” อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น นอกจากนี้ที่ภูเขาอีโมริยังมี “อุโบสถสะซะเอะโด” อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นและที่นี่ก็มีผู้คนมาเยือนกันมากมายด้วย
ทานอาหารได้ที่ “ร้านอีโมริบุง” และลึกเข้าไปภายในร้านก็มีจุดชมวิวที่มองเห็นวิวภายในเมืองได้แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น แถมยังสะดวกต่อการมาพักผ่อนอีกด้วย
 
 
จุดหมายปลายทาง
  • วัดซุยกันจิ
  • โกะไดโด
  • ซุยโฮเดน
  • นาโนะคะมะชิโดริ【เมืองอะอิซุวะคะมัตสึจิ】
  • ปราสาทซึรุกะ
  • คฤหาสน์ซามูไร ไอซึบูเคยาชิกิ
  • วัดซาซาเอะ
  • ภูเขาอีโมริ