2 คืน 3 วันในฮิกาชิยามะและอาชิโนะมากิออนเซ็น [Base! โทโฮคุ]

แผนที่พื้นที่ 青森県 岩手県 宮城県 秋田県 山形県 福島県 新潟県

ไอสึวากามัตสึหรือที่รู้จักกันในชื่อ "เมืองซามูไร" ตั้งอยู่ใกล้ๆ ฮิกาชิยามะออนเซ็นอยู่ห่างออกไปด้วยการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 10 นาที และอาชิโนะมากิออนเซ็นอยู่ห่างออกไปประมาณ 25 นาทีด้วยการเดินทางโดยรถยนต์

เยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น ปราสาทและที่อยู่อาศัยของซามูไร

สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเช่น ``ทะเลสาบอินาวาชิโระ'' และ ``โออุจิจูกุ'' ก็อยู่ในระยะการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ

เริ่มต้น
วันที่ 1

ทะเลสาบอินะวะชิโระ

ทะเลสาบที่มีวิวสวยงามทุกฤดูกาล

ทะเลสาบอินะวะชิโระ
ทะเลสาบพื้นที่กว่า 100 ตร.กม. มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและใหญ่จนดูเหมือนกับมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น จุดเด่นคือน้ำใสแจ๋วจนมีอีกชื่อหนึ่งว่า ""เทนเคียวโกะ"" ซึ่งหมายถึงทะเลสาบที่ใสดั่งกระจกจนสะท้อนเห็นท้องฟ้า
เสน่ห์ของทะเลสาบนี้คือมีกิจกรรมให้ทำต่างกันไปในแต่ละฤดู ในฤดูใบไม้ผลิจะสามารถชมภูเขาบันไดอันยิ่งใหญ่ได้พร้อมกับซากุระริมฝั่งทะเลสาบ ในฤดูร้อนจะได้สนุกกับการว่ายน้ำในทะเลสาบ กีฬาทางน้ำ และตั้งแคมป์ ในฤดูใบไม้ร่วงจะมีใบไม้เปลี่ยนสีสะท้อนบนผืนน้ำ ส่วนในฤดูหนาวจะมีหงส์จำนวนมากอพยพมา“ละอองน้ำแข็งตัว” ซึ่งเห็นได้เฉพาะกลางฤดูหนาวนั้นได้รับความนิยมเป็นพิเศษและมีคนมาเพื่อชมกันเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลสาบจะถูกลมแรงพัดไปติดตามต้นไม้และแข็งตัวจนเกิดออกมาเป็นรูปร่างที่สวยงามตามธรรมชาติ นี่เป็นภาพที่เห็นได้เฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
ริมทะเลสาบมีจุดให้ชมทิวทัศน์สวยๆ อยู่มากมาย แต่ขอแนะนำทะเลสาบอินะวะชิโระที่มองลงมาจากจุดชมวิว “โชวะโนะโมริ” เป็นพิเศษ สามารถเพลิดเพลินกับเรือนำเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ละแวกใกล้เคียงนอกจากจะมีฟาร์ม ออนเซ็น และคาเฟ่เก๋ๆ แล้ว ยังมีลานสกีให้สนุกสนานกับกีฬาฤดูหนาวอย่าง “ลานสกีอินะวะชิโระ” อีกด้วย จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเพลิดเพลินกันได้ทั้งผู้ที่ต้องการพักผ่อนสบายๆ และผู้ที่ต้องการจะทำกิจกรรมขยับร่างกาย

หมู่บ้านโออุจิจูคุ

ชมสภาพของญี่ปุ่นในสมัยวันวานอันแสนสุขได้ที่นี่

หมู่บ้านโออุจิจูคุ
หมู่บ้านโออุจิจูคุเป็นเมืองสำหรับพักแรมระหว่างทาง เปิดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 17 และได้รับเลือกให้เป็นกลุ่มอาคารที่สำคัญทางด้านวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น จากถนนที่เรียงรายไปด้วยบ้านหลังคามุงจาก คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในยุคสมัยเอโดะ และยังมีพื้นที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและเตาไฟที่บ่งบอกถึงประเพณีในสมัยนั้น ให้คุณรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปในยุคนั้น
เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก จะพบกับประตูโทริอิของศาลเจ้าทาคาคุระ ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน หากคุณเดินผ่านประตูโทริอินั้นไป คุณจะพบกับพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ หากคุณขึ้นบันไดของศาลเจ้าที่ลาดสูงขึ้นไป คุณจะพบกับจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นหมู่บ้านโออุจิจูคุได้
มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงราย และในบรรดาอาหารเหล่านั้นจะมูเมนู "เนงิโซบะ" ซึ่งใช้ต้นหอมญี่ปุ่นในการรับประทานแทนการใช้ตะเกียบ จะเป็นเมนูที่มีดีทั้งรสชาติและรูปถ่ายที่ถ่ายออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ได้แก่ "โทจิโมจิ" ซึ่งทำจากผลเกาลัดม้าญี่ปุ่นผสมกับข้าวเหนียว และ "ชิงโกโร่” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าตาที่คล้ายกับขนมดังโงะซึ่งปรุงด้วยจูเน็นมิโสะ (มิโสะงาขี้ม้อน) และอื่นๆ ซึ่งการเดินไปชิมไปก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับจุดชมวิว "หน้าผาหินโทโนะเฮทสึริ" ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะมาเยี่ยมชมไปพร้อมๆ กัน

บ่อน้ำพุร้อนอะชิโนะมะคิออนเซน

แหล่งพักผ่อนที่ลึกเข้าไปด้านในของไอซึที่เข้าถึงได้ ไปผ่อนคลายที่บ่อออนเซนกันเถอะ !

บ่อน้ำพุร้อนอะชิโนะมะคิออนเซน
อะชิโนะมะคิออนเซนคือบ่อน้ำพุร้อนที่น่าภาคภูมิใจในความงามของหุบเขาและน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีปริมาณน้ำอุดมสมบูรณ์ ว่ากันว่าเปิดให้ใช้บ่อก่อนปี 1200 ซึ่งในเวลานั้นการเข้าถึงเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงถูกเรียกขานว่าเป็น "แหล่งน้ำพุร้อนมายา" เมื่อมีโรงแรมแบบญี่ปุ่นพร้อมออนเซนตั้งอยู่ท่ามกลางหน้าผาของหุบเขาลึก จึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศของบ่อน้ำพุร้อนที่ซ่อนเร้นจากผู้คน ขอชวนลืมความวุ่นวายสับสนของชีวิตประจำวันแล้วไปใช้เวลาผ่อนคลายบำบัดรักษาในที่พักซึ่งมีทัศนียภาพอันงดงามที่ท่านจะสามารถอิ่มเอมไปกับความเขียวชอุ่มของป่าและความงามของธารน้ำจากภูเขาที่สวยงามในระหว่างแช่ตัวลงไปในน้ำร้อน
สถานที่น่าชมในย่านนี้ ได้แก่ "สถานีอะชิโนะมะคิออนเซน" มีชื่อเสียงจากการที่มีแมวเป็นนายสถานีรถไฟ, "ถนนอิชิอิ เส้นทางเดินเล่น" ซึ่งมีต้นอิชิอิเป็นสัญลักษณ์", "อะชิโปปโปะ" บ่อน้ำร้อนแช่เท้าที่น้ำพุร้อนจากแหล่งน้ำไหลผ่านในทำเลที่มีวิวสวย และอื่นๆ
แม้ว่าจะเป็นแหล่งบ่อน้ำพุร้อนที่มีความเงียบสงบ แต่ก็ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว อย่างเช่น โออุชิจุคุ, โทโนะเฮทสึริ, ปราสาทสึรุกะ บ้านพักตระกูลนักรบไอซึ และอื่นๆ การเดินทางเข้าถึงจากภายในเมืองไอซึวะคะมัทสึก็สะดวกโดยใช้เวลาประมาณ 25 นาทีด้วยรถยนต์ เหมาะอย่างยิ่งกับการเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวไอซึวะคะมัทสึ
วันที่ 2

ปราสาทสึรุกะ

ปราสาทกระเบื้องสีแดงแสนงามเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น

ปราสาทสึรุกะ
เรียกกันอีกอย่างว่า “ปราสาทไอซุ” หรือ “ปราสาทไอซุวะคะมัตสึ” เพราะในสงครามโบชินในปี 1868 ตัวปราสาทต้านทานการโจมตีอันดุเดือดของกองทหารรัฐบาลชุดใหม่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนจนเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า “ปราสาทไร้พ่าย”
ปราสาทสึรุกะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้อยปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น สร้างใหม่เมื่อปี 1965 และปรับปรุงเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2011 จึงปู ""กระเบื้องสีแดง” ที่สร้างเลียนแบบสมัยศตวรรษที่ 17 ได้เสร็จสิ้น และกลายเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีกระเบื้องสีแดงให้ชม นอกจากนี้ กำแพงหินของตัวปราสาทยังรอดพ้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1611 มาได้ ปัจจุบันจึงยังคงสภาพดีให้ได้ชมเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
ภายในตัวปราสาทกลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจากชั้นบนสุดจะสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองรอบปราสาทไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตาภายในสวนปราสาทสึรุกะมี “ห้องชารินคาคุ” ซึ่งกล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาโดยโชอัน บุตรของเซ็นโนะริคิว จึงมีน้ำชาและขนมให้เพลิดเพลินกันได้ภายในสวน
ทั้งยังรู้จักกันว่าเป็นจุดชมซากุระชื่อดัง ในฤดูใบไม้ผลิซากุระกว่า 1,000 ต้นจะบานสะพรั่งเต็มสวนและช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับด้วย นอกจากจะมีการประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว “เทศกาลเทียนประดับภาพวาดแห่งเมืองไอซุ” ที่จัดขึ้นในฤดูหนาวก็มีวิวหิมะน่ามหัศจรรย์ที่ส่องสว่างจากแสงของเทียนไขให้ได้เพลิดเพลินกันและมีคนมาชมกันอย่างหนาแน่น

อุโบสถสะซะเอะโด

สัมผัสประสบการณ์พิศวง! สถาปัตยกรรมไม้เพียงแห่งเดียวในโลกที่มีบันไดวนสองชั้น

อุโบสถสะซะเอะโด
""อุโบสถสะซะเอะโด (หอยตาวัว)"" ได้ชื่อนี้มาเพราะรูปร่างเหมือนทรงกระบอกม้วนและมีลักษณะภายนอกเหมือนศิลปะสามมิติ สถาปัตยกรรมไม้หกเหลี่ยมสามชั้นที่มีบันไดวนสองชั้นแบบนี้มีเพียงแห่งเดียวในโลกและเป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำค่ามาก ได้รับเลือกเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร
ภายในออกแบบให้ขึ้นทางลาดเอียงระหว่างชมวิวจากหน้าต่างที่เอนเอียงได้ ทางขึ้นกับทางลงเป็นแบบวันเวย์จึงจะไม่มีการเดินสวนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงเกิดมาเป็นโครงสร้างแบบนี้ได้นั้นมีหลากหลายทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลโอนาร์โด ดาวินชีประดิษฐ์คิดค้นได้เผยแพร่เข้ามาสู่ญี่ปุ่น หรือเจ้าอาวาสได้รับคำพยากรณ์มาจากในฝัน เป็นต้น แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา ห้ามพลาดมาสัมผัสกับความพิศวงที่ไม่รู้เลยว่าจะกลับมาถึงประตูทางเข้าตั้งแต่ตอนไหนและความมหัศจรรย์เหมือนโลกบูดเบี้ยวนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง!
สมัยก่อนมีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ 33 องค์และกล่าวกันว่าสามารถเดินทางมาแสวงบุญกันได้ที่นี่ เป็นสถานที่เหมือนฝันจริงๆ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ยากจะไปแสวงบุญทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น มีเครื่องรางติดอยู่เป็นจำนวนมากและแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากแค่ไหนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้
มีชื่อทางการว่า “เอ็นซือซังโซโด” ตั้งอยู่บนภูเขาอีโมริซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกองทัพเสือขาว (บัคโคไต) และตั้งติดกับ “วัดอุงะชินโด” ที่มีรูปปั้นของกองทัพเสือขาว 19 นายด้วย

ภูเขาอีโมริ

ทำให้อาลัยอาวรณ์เหล่านักรบที่สิ้นลมหายใจไปตั้งแต่อายุยังน้อย

ภูเขาอีโมริ
ภูเขาเตี้ยๆ ความสูง 314 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่มองเห็นเมืองรอบปราสาทอย่างเมืองไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตา สามารถไปถึงยอดเขาโดยขึ้นบันได 183 ขั้นได้ แต่หากใช้บริการทางเลื่อนก็จะสามารถไปถึงยอดเขาได้ง่ายยิ่งขึ้น
“สุสาน 19 หน่วยพยัคฆ์ขาว” บนภูเขาอีโมริจะคอยเล่าขานให้ปัจจุบันได้ทราบถึงโศกนาฏกรรมสงครามไอซุอันเป็นสงครามจำกัดขอบเขตในช่วงสงครามโบชินซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1868 หน่วยพยัคฆ์ขาวเป็นกองทหารของเด็กหนุ่มวัย 10-19 ปีในแคว้นไอซุ พวกเขาเห็นปราสาทสึรุกะปกคลุมไปด้วยควันโขมงจากภูเขาอีโมริจนนึกว่าปราสาทเกิดไฟไหม้ จึงปลิดชีพของตนเองเพื่อเจ้านาย แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยังสามารถมองเห็นปราสาทสึรุกะได้จาก “จุดที่หน่วยพยัคฆ์ขาวปลิดชีพตนเองด้วยดาบ” ได้ และมีผู้คนมากมายมาเยือนเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเพราะนึกถึงเหล่านักรบที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อย สุสานของอีนุมะ ซาดาคิจิที่เหลือชีวิตรอดเพียงคนเดียวและเป็นผู้ถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของหน่วยพยัคฆ์ขาวในภายหลังก็อยู่ในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อย
นอกจากนี้ก็ยังหลงเหลือศิลาจารึกที่ต่างประเทศมอบให้เพื่อชมเชยในความสามารถของหน่วยพยัคฆ์ขาว เช่น “อนุสาวรีย์อิตาลี” และ “อนุสาวรีย์เยอรมัน” รวมถึง “ถ้ำคันกั้นน้ำโทโนะกุจิ” ที่กล่าวกันว่าหน่วยพยัคฆ์ขาวเคยลอดผ่านตอนถอยร่น
ใกล้ๆ จุดขึ้นทางเลื่อนมี “อนุสรณ์สถานหน่วยพยัคฆ์ขาว” และในบริเวณใกล้เคียงก็มี “อนุสรณ์สถานตำนานหน่วยพยัคฆ์ขาว” และ “ทาคิซาวะฮนจิน” อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น นอกจากนี้ที่ภูเขาอีโมริยังมี “อุโบสถสะซะเอะโด” อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นและที่นี่ก็มีผู้คนมาเยือนกันมากมายด้วย
ทานอาหารได้ที่ “ร้านอีโมริบุง” และลึกเข้าไปภายในร้านก็มีจุดชมวิวที่มองเห็นวิวภายในเมืองได้แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น แถมยังสะดวกต่อการมาพักผ่อนอีกด้วย

คฤหาสน์ซามูไรไอซุ

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จะให้ชม สัมผัสประสบการณ์ และเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไอซุ

คฤหาสน์ซามูไรไอซุ
สวนสนุกธีมพาร์คด้านประวัติศาสตร์ที่มีการรวมอาคารซึ่งย้ายมาปลูกใหม่หรือบูรณะขึ้นใหม่โดยเน้นไปที่คฤหาสน์ของไซโก ทะโนะโมะ ผู้เป็นขุนนางแคว้นไอซุ นอกจากคฤหาสน์ขุนนางแล้วภายในอาณาบริเวณอันกว้างขวางยังมีสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ""คิวนะคะฮะตะจินยะ"" ซึ่งเป็นที่ว่าการเขตสมัยเอโดะที่ถูกย้ายมาสร้างใหม่ และ ""เรนันอันรินคะคุ"" ซึ่งจำลองมาจาก ""รินคะคุ"" ซึ่งเป็นห้องชงชาในป้อมศูนย์กลางของปราสาทสึรุกะ 
นอกจากจะตั้งรวมกับหอเอกสารที่มีวิถีชีวิตในสมัยนั้นและสภาพของสงครามโบชินให้เรียนรู้แล้ว ในฤดูหนาวช่วงกลางเดือนธันวาคม - ต้นเดือนเมษายนยังสามารถชมภายในของคฤหาสน์ขุนนางได้อีกด้วย
นอกจากจะสามารถทำกิจกรรมลงสีอากาเบโกะ (วัวแดง) และแกะสลักภาพลงบนกระจกได้แล้ว อาคารทำงานประดิษฐ์มือยังมีวัฒนธรรมดั้งเดิมให้ได้ทำกันอย่างสนุกสนานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เช่น “สตูดิโอถ่ายภาพ” ที่จะให้สวมชุดในสมัยนั้นและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
ไม่เพียงแต่ร้านอาหารที่มีอาหารพื้นเมืองของไอซุให้ได้ทานกันเท่านั้น แต่ยังมีร้านที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของไอซุมากมายตั้งแต่สินค้าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิม ขนม ไปจนถึงผลผลิตทางการเกษตร จึงไม่ควรพลาดมาหาของถูกใจเป็นที่ระลึกในการเดินทางกันให้ได้ค่ะ

ฮิกะชิยะมะออนเซ็น

สถานที่พักผ่อนของ “เมืองแห่งซามูไร ไอซุวะคะมัตสึ”

ฮิกะชิยะมะออนเซ็น
ฮิกะชิยะมะออนเซ็นเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสามออนเซ็นดังแห่งโออุ ร่วมกับคะมิโนะยะมะออนเซ็นและยุโนะฮะมะออนเซ็นในจังหวัดยะมะกะตะ ที่นี่เป็นออนเซ็นที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ให้สัมผัสได้ทั้งสี่ฤดู ไม่ว่าจะเป็นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้เขียวขจีในต้นฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และการแช่น้ำร้อนชมหิมะในฤดูหนาว แถมยังเดินทางง่ายเพียงขับรถจากใจกลางเมืองไอซุวะคะมัตสึ 10 นาที เลียบแม่น้ำมีที่พักตั้งเรียงรายและยังมีร้านปาเป้ากับน้ำตกเล็กๆ มาช่วยให้บรรยากาศแบบเมืองออนเซ็นสมัยก่อน
กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนของฮิกะชิยะมะออนเซ็นค้นพบโดยพระสงฆ์ชื่อดังนามว่าเกียวคิในศตวรรษที่ 8 และมีเอกลักษณ์ตรงเป็นน้ำพุร้อนซัลเฟตสัมผัสลื่น ทั้งยังกล่าวกันว่าจะช่วยเรื่องโรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง และอื่นๆ น้ำพุร้อนที่ร้อนไม่จัดจะช่วยให้อบอุ่นไปจนถึงภายในของร่างกาย ฮิจิคาตะ โทชิโซแห่งชินเซ็นกุมิเคยมารักษาบาดแผลในช่วงสงครามโบชินปี 1868 แล้วยังเป็นออนเซ็นที่เคยมีนักประพันธ์กับศิลปินอย่างโยะซะโนะ อะคิโกะ และยุเมจิ ทาเคฮิสะมาเยือนด้วย
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย เช่น ปราสาทสึรุกะ คฤหาสน์ซามูไรไอซุ ทั้งยังแนะนำให้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวไอซุวะคะมัตสึซึ่งเรียกกันว่าเมืองแห่งซามูไร
วันที่ 3

สำรวจโรงเหล้าสาเกคิตะคาตะเดินเล่นสบายๆ

การเดินแรลลี่ที่แท้จริงที่ยอดเยี่ยมซึ่งทัวร์โรงเบียร์ 12 แห่งด้วยการเดินเท้า

สำรวจโรงเหล้าสาเกคิตะคาตะเดินเล่นสบายๆ
การเดินขบวนชั้นยอดพร้อมรสชาติต้นตำรับที่คุณสามารถลองชิมสาเกและทัวร์โรงเหล้าสาเกพร้อมถือโชโกะต้นตำรับอยู่ในมือและฟังคำอธิบายจากผู้ผลิตเหล้า โครงการนี้เป็นโครงการที่คนแปลกหน้าสามารถเพลิดเพลินกับเทคนิคดั้งเดิมและสาเกที่มีชื่อเสียงในขณะที่เดินเล่นท่ามกลางความเขียวขจีของคิตะคาตะ แน่นอนว่าตอนจบคือคิตะคาตะราเมน!
จุดหมายปลายทาง
  • ทะเลสาบอินะวะชิโระ
  • หมู่บ้านโออุจิจูคุ
  • บ่อน้ำพุร้อนอะชิโนะมะคิออนเซน
  • ปราสาทสึรุกะ
  • อุโบสถสะซะเอะโด
  • ภูเขาอีโมริ
  • คฤหาสน์ซามูไรไอซุ
  • ฮิกะชิยะมะออนเซ็น
  • สำรวจโรงเหล้าสาเกคิตะคาตะเดินเล่นสบายๆ

ผู้ที่ดูหน้านี้ก็ดูหน้าเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

เส้นทางวัฒนธรรมซามูไรและปราสาทในโทโฮคุ
ดูข้อมูลพื้นฐาน